บทความพิเศษ : ผ่าศาสตร์ตราสารหนี้ KPM ผ่าน สุรศักดิ์ บุณยะชัย

Last updated: 19 Feb 2021  |  2612 Views  | 

บทความพิเศษ : ผ่าศาสตร์ตราสารหนี้ KPM ผ่าน สุรศักดิ์ บุณยะชัย

“สมการแห่งความสำเร็จทำให้ 3 ปีจากนี้ไป เมื่อบริษัทเป็นมหาชนและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยจะผลักดันธุรกิจที่มีอยู่ 3 ขา จากตลาดแรก, ตลาดรอง และวาณิชธนกิจ โดยจะนำบริษัทจัดการกองทุนรวมเป็นตัวเสริมทีมให้กับ KPM เติบโตอย่างครบวงจรอย่างยั่งยืน”

สั่งสมประสบการณ์กว่า 20 ปี จนตกผลึกทางความคิดว่า “ตลาดตราสารหนี้” ยังคงเป็น “ศาสตร์” แห่งการลงทุน ที่ซ่อนมูลค่ามหาศาล ผลักดันให้เป็นเหตุผลสนับสนุนให้ “สุรศักดิ์ บุณยะชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์เคพีเอ็ม จำกัด หรือ KPM ตัดสินใจฟอร์มทีมจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อวางวิชั่นเดินไปสู่เป้าหมายอย่างมีทิศทาง

สุรศักดิ์ บุณยะชัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคพีเอ็ม จำกัด  หรือ KPM  เล่าว่า ผมจบวิศวโยธา และไฟแนนซ์จากบอสตัน ก่อนบินกลับไทยมาเรียนด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยจุฬา โดยเริ่มทำงานที่แรกที่บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ต่อมาย้ายไปอยู่ที่หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน  และบล.คันทรี่ กรุ๊ป ก่อนย้ายเข้ามาอยู่ที่บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย

จุดเปลี่ยน

จุดพลิกผันก่อตัวเมื่อครั้งมาอยู่ที่บริษัท ยูโอบี เคย์เฮียน ได้เข้ามาดูตราสารหนี้ ทำให้ตีโจทย์ให้กับตนเองได้ว่า ตราสารหนี้เป็นตลาดที่ท้าทายและมีมูลค่ามหาศาลซ่อนอยู่ ที่สำคัญพันธมิตรที่มีอยู่ยังเติมประสบการณ์ให้เห็นถึงศักยภาพที่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกมาโต  ที่ผ่านมาผมทำงานกับทุกฝ่าย ผ่านเรื่องหุ้นจนอิ่มตัว ดังนั้นจึงคิดมาทำตราสารหนี้ ทำให้รู้ว่าตลาด “ตราสารหนี้”   มีเม็ดเงินใหญ่กว่าตลาดหุ้นมาก ชนิดมหาศาล ดังนั้น การได้อยู่กับหุ้นเห็นการเทรดทุกวันแรกๆตื่นเต้น แต่พอมาจับตราสารหนี้ กลายเป็นอีกความรู้สึก  ซึ่งความหวือหวาตื่นเต้นอาจไม่เท่าตลาดหุ้น แต่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการดูแลลูกค้า ให้คำแนะนำ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดี และเหมาะสมที่สุดให้แก่ลูกค้า ช่วงแรกลูกค้าจริงๆ คือลูกค้าเงินฝากแบงก์ ที่ชอบออมเงิน เพราะดอกเบี้ยแบงก์ถูก แต่การลงทุนตราสารหนี้จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร

“ปัจจุบันผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บล. KPM และดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร จุดแข็งของบริษัทเราคือการรวบรวมมือทองด้านตราสารหนี้จากหลายบริษัทหลักทรัพย์มาทำงานร่วมกัน ซึ่งแต่ละท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใน KPM โดยจะแบ่งความรับผิดชอบตามสายงานที่แต่ละท่านมีความชำนาญ จึงมั่นใจได้ว่าบุคคลากรของบล. เรานั้น เป็นผู้คร่ำหวอดและมากประสบการณ์อย่างแน่นอน สำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัทนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ คนกู้หรือผู้ออกตราสาร (Issuer) และคนให้กู้ (ผู้ลงทุน) ซึ่งผู้ออกตราสารส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเป็นบริษัทมหาชน โดย KPM จะเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ในทุกมิติ ทั้งในส่วนของอัตราผลตอบแทน อายุหุ้นกู้ หลักประกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ของนักลงทุน ทั้งในส่วนของนักลงทุนสถาบัน (II: Institution Investor) และ นักลงทุนรายใหญ่ (HNW: High net Worth)

ฐานลูกค้า

ที่สำคัญกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ KPM คือ กลุ่ม นักลงทุนสถาบัน (II: Institution Investor) และ นักลงทุนรายใหญ่ (HNW: High net Worth) รวมถึง นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UHNW: Ultra High Net Worth) ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ KPM  อันได้แก่ ตลาดแรก คือการออกตราสารหนี้ และตลาดรอง คือ การซื้อขายก่อนอายุครบกำหนด ซึ่งตลาดแรกมูลค่าประมาณ 6,000-7,500 ล้านบาท ส่วนตลาดรองมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท  ซึ่งเรามองว่า การเจริญเติบโตของตลาดตราสารหนี้ ในประเทศไทยยังสามารถเติบโตไปได้อีกมาก รวมถึงยังมีช่องว่างในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่โดยเรามองว่า KPM สามารถเข้าถึงลูกค้าดังกล่าวได้ดีกว่า สถาบันการเงินทั่วไป ทำให้คาดว่ารายได้ของ KPM จะเติบโตตามตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยได้

สุรศักดิ์ ย้อนภาพเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมาว่า ตลอดระยะเวลาที่ได้จับตราสารหนี้  ทำให้รับรู้ว่าตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง โดยค่าคอมถูกลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2543 ค่าคอม 0.5  หลายโบรกหากลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน และหนึ่งในนั้นคือการนำ ระบบ AI เข้ามาเพื่อเสริมอาวุธ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่ชอบนั่งเรียน  เพราะถือว่านำเงินเพื่อให้โบรกบริหารถือว่าให้ระบบทำงาน และ  คำนวณให้หมดว่าจะลงทุนหุ้นตัวใดบ้าง เป็นการให้เงินทำงาน โดย ระบบ  AI ทำงาน 24 ชั่วโมง เป็นการคำนวณตั้งแต่ดาวโจนส์ คำนวณหุ้นทั่วโลก มองว่าในอนาคตเทรนการลงทุนจะเปลี่ยนไประบบ AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ผลตอบแทน

หากไล่เรียงแล้วสินทรัพย์ของลูกค้าเป็นหลักหมื่นล้านบาท ลูกค้าตราสารหนี้เล่นหุ้นน้อยมากเพราะกลัวความเสี่ยง แต่สัดส่วนการลงทุนจะลงในหุ้น 10% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้ เพราะตราสารหนี้ให้ดอกเบี้ยที่ค่อนข้างแน่นอน ไม่มีความผันผวนเหมือนตลาดหุ้น คนเล่นหุ้นคือคนชอบเสี่ยง แต่คนลงทุนในตราสารหนี้จะเป็นคนชอบผลตอบแทนสม่ำเสมอ

ผลลัพธ์ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด ลูกค้ากลัวหมดทุกคน  คนเล่นหุ้นเทขายเพื่อถือเงินสด ไม่เว้นแม้แต่ LTF  เพราะเกิดความกลัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ปัจจุบันเมื่อตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิดเป็นศูนย์ คนกลับเข้ามาลงทุน เนื่องจากคลายความวิตกกังวล อารมณ์คนเปลี่ยน  ทำให้รู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์

“ในส่วนของตลาดทุน  โดยภาพรวมคนเข้าใจผิดมองว่าโควิดทำให้ตลาดหุ้นทรุด แต่เป็นความคิดที่ผิด เนื่องจาก เราต้องมีการปรับตัว เพราะเงินกำลังจะถูกโยกจากคนรวยคนหนึ่งไปยังคนรวยอีกกลุ่มหนึ่ง  เงินอยู่ที่เดิม  แต่เราต้องจับเทรนด์ให้ถูกว่าอนาคตธุรกิจใดจะมา ดังนั้นทุกคนต้องปรับตัว โดยมองว่าธุรกิจเฮลแคร์จะมาและไปได้ ทั้งนี้อย่ามองแค่โรงพยาบาล ในอนาคตธุรกิจอาหารเสริมจะมา เพราะคนจะดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะโควิด ดังนั้น วิถีของคนและวิธีของธุรกิจจะเปลี่ยนไป ซึ่งหากใครจับทางได้ถูกและเร็ว จะได้เปรียบ”

แผนอนาคต

ส่วนกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมออกตราสารหนี้ โดยเป็นตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน  ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทบทั้งสิ้น  ที่สำคัญบริษัทจะทำรายการ KPM Insideเริ่มเดือนกรกฏาคม  เป็นรายการที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับตราสารหนี้   โดยก่อนจะขายบริษัทจะทำคลิปเหมือนเยี่ยมบ้าน บจ .ทั้งนี้ อยากให้ลูกค้าที่ซื้อตราสารหนี้ได้รับรู้ถึงธุรกิจและแผนอนาคต  รวมถึงรู้ถึงฐานธุรกิจ  โดยคลิปใช้เวลาประมาณ 5-8 นาที

สุรศักดิ์  บอกอีกว่าปัจจัยที่ต้องจับตาเห็นจะเป็นการนำ KPM เข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต โดยตัวแปรสำคัญจะขยายธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่ม  ซึ่งจะทำให้รายได้เติบโต ในขณะเดียวกันธุรกิจตราสารหนี้ถือเป็นจุดแข็ง เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้มากว่า 20 ปี ทำให้รู้ถึงปัญหาตั้งแต่ล่างจนถึงบน อีกทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่จบด้านกฏหมายทั้งคู่ ทำให้เราระมัดระวังและรัดกุมให้ลูกค้าได้มากขึ้น

“สมการแห่งความสำเร็จทำให้ 3 ปีจากนี้ไป เมื่อบริษัทเป็นมหาชนและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง  โดยจะผลักดันธุรกิจที่มีอยู่ 3 ขา จากตลาดแรก,  ตลาดรอง และวาณิชธนกิจ  โดยจะนำบริษัทจัดการกองทุนรวมเป็นตัวเสริมทีมให้กับ KPM  เติบโตอย่างครบวงจรอย่างยั่งยืน”

 

ที่มา : ทันหุ้น

Powered by MakeWebEasy.com
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy